เป็นที่ทราบกันดีว่า หลังจากจบการออกอากาศ รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 พิธีกรดังอย่าง สรยุทธ สุทัศนะจินดา และ ไบรท์ พิชญทัฬห์ จะไลฟ์คุยข่าวกันต่อในช่องยูทูบส่วนตัว
สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว เป็นรายการ กรรมกรข่าว คุยนอกจอ โดยวันนี้ ระหว่างที่ สรยุทธ กำลังเล่าข่าวบรรยากาศ พรรคก้าวไกลลงพื้นที่ขอบคุณคะแนนเสียงที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง
เนื้อหาที่ได้รับการโปรโมต
สรยุทธบอกว่า ช่วงหลังการเลือกตั้ง คอมเมนต์ในรายการก็มีหลากหลายฝั่ง ไม่ได้มีกองเชียร์สีส้มเยอะเดิมแล้ว แต่ละคอมเมนต์มีหลากหลายมุม หากฟังแล้วมีเหตุผล คำพูดเหล่านี้ก็จะเป็นสาระที่น่าสนใจ
“บางคนบอกที่นำเสนอข่าวพรรคก้าวไกลมาก เป็นด้อมส้มหรือเปล่า ถ้าวันนี้ผมไม่นำเสนอข่าวพรรคก้าวไกล เลือกนำเสนอแบบเกลี่ย เอาฝ่ายค้านที่แทบจะไม่มีความเคลื่อนไหว ขุดเขาขึ้นมาผมจะกลายเป็นสาวกลุงตู่ไหม สถานการณ์มันคือเขาชนะเลือกตั้ง เราจะมาถามไหมว่าฝ่ายค้านคุณจะมีนโยบายอะไร มันจะถามยังไงล่ะ ก็เขาเป็นรัฐบาล นี่ก็รอทางเพื่อไทย พยายามจะเชิญหลายคนแต่เขาบอกว่าให้คุยกันให้จบก่อน ทำรายการ หรือจะไปยืนอยู่ข้างไหนมันไม่ได้หรอก ใช่ไหม ด่า เอ๊ย ต่อว่าสักนิดหนึ่ง อันนี้พูดเรื่องจริง ส่วนก้าวไกลไปลงพื้นที่แห่แหน
มันเป็นการเมืองก็จริง แต่คนเป็นสื่อจะไม่นำเสนอได้ไหม คือบางทีเราก็อยากให้ พล.อ. ประยุทธ์ หรือ พล.อ. ประวิตร ไปแห่เหมือนกันนะ ผมจะได้นำเสนอข่าวง่าย
อีกมุมที่บอก พล.อ. ประยุทธ์ เข้าทำงานที่ทำเนียบเป็นปกติ ก็บอกว่าไม่เห็นจะมีข่าวอะไรเลยจะนำเสนอทำไม ก็นำเสนอให้เห็นความเคลื่อนไหวทั้งสองฝั่ง” สรยุทธ กล่าวในไลฟ์
ล่าสุด 23 พ.ค. 2566 ‘สรยุทธ’ โดนถามไม่ขอโทษ ร่วมเป่านกหวีด กลุ่ม กปปส. แจงลั่นโดนบังคับ ตอนนั้นม็อบบุกช่อง 3 ต้องลงไปทำความเข้าใจ ชี้เป็นสื่อต้องอยู่ตรงกลางโดย สรยุทธ ได้ชี้แจงกรณีเป่านกหวีดกับกลุ่ม กปปส. ในรายการ Live “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” วันที่ 23 พ.ค.2566 ช่วงหนึ่งมีคอมเมนต์เข้าทวงถามว่า สรยุทธ ขอโทษหรือยังที่เคยเป่านกหวีด
โดย สรยุทธ ชี้แจงว่า “เข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ผมถูกบังคับให้เป่านกหวีด ผมเห็นพี่น้อง กปปส.มา ซึ่งส่วนตัวเคารพในความแตกต่างโดยแกนนำที่ผ่านมา คือ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ น.ส.ทยา ทีปสุวรรณ คือถ้าไม่ลงไปเขาก็ไม่ยอมออกจากช่อง 3ตอนนั้นจำได้เลยว่า ประโยคที่พูดไป ไม่มีปัญหา ถ้าอยากให้เป่านกหวีดจะเป่าให้ แต่การเป่านกหวีดของผมไม่ได้แปลว่าสนับสนุน กปปส. เพราะการเป็นสื่อต้องอยู่ตรงกลาง”