พร้อมกันนี้ช่วงตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ดังกล่าว แบงค์ ศรราม หัวหน้าคณะลิเกศรราม น้ำเพชรยังพูดถึงการเซ็นสัญญาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ คณะลิเก เพราะหลายคนสงสัยเกี่ยวกับประเด็นนี้อย่างมากว่า พอไม่มีสัญญาเราอยู่กันยังไง พอดังแล้วมันก็อาจจะมีความอยากไปเติบโตเอง ซึ่งทั้ง ศรราม และ น้ำเพชร บอกว่าไม่มีการเซ็นสัญญาใดๆ มีเพียงสัญญาใจเท่านั้น
น้ำเพชร อเนกลาภอธิบายในส่วนนี้ว่าเราอยู่กันแบบพี่น้อง อยู่ด้วยกัน เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ สัญญาเราคือสัญญาใจ ถ้าถึงเวลาแสดงลิเก ทุกคนก็ทำหน้าที่ รับค่าแรงของแต่ละคนได้เลย คือจบ
ขณะที่ แบงค์ ศรราม ระบุว่า ถ้าใครติดตามคณะลิเกศรราม-น้ำเพชรจะรู้เลยว่าตั้งแต่เราตั้งคณะมามีศิลปินคนไหนบ้างที่เติบโตกับคณะเรา แล้วเขาก็ขอไปเติบโตเองตามทางของเขาก็มีหลายคน แต่เราก็ยังจะเป็นสัญญาใจอยู่ แบงค์เชื่อว่าคนเราทุกคนมีทางเดินของตัวเอง
“เราเหมือนเป็นบ้านหลังหนึ่งที่มาสร้างเนื้อสร้างตัวกัน ทำงานไปด้วยกัน วันหนึ่งโอกาสแต่ละคนวิ่งเข้ามาหาไม่เหมือนกัน เราไม่ปิดกั้น มีงานนอกอะไรเขาก็จะมาบอก เขาจะไปทำงานอะไรเราก็ยินดีให้ทุกคนไปทำงานอยู่แล้ว”
แบงค์ ศรราม ยังบอกอีกว่า สุดท้ายแล้วเราขอแค่ว่าอย่ากระทบกับงานของเรา อย่าให้งานเราเสีย เราไม่ปิดกั้นโอกาส คุณจะได้เท่าไหร่ก็แล้วแต่เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคลเลย ซึ่งตั้งแต่ตั้งคณะมาเรื่องดันเราไม่มี แต่ละคนกว่าจะมีชื่อเสียง กว่าจะมีแสงให้คนเห็น
“มันคือความสามารถเฉพาะบุคคล เราเป็นหัวหน้าคณะ เราจะเลือกใครมาเล่นตรงไหน เราดูองค์ประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องความขยัน ความเหมาะสม คาแร็กเตอร์ สุดท้ายแล้วเราดูผลงานโดยรวม เราเน้นผลงานที่หน้าหน้าเวทีของคณะ ถ้าตำแหน่งไหนทำไม่ดีมันก็เสียชื่อคณะ”
อย่างไรก็ตาม แบงค์ ศรราม ยังย้ำอีกด้วยว่า เรื่องของรางวัลของแต่ละคนเราจะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เราอยู่ในคณะเดียวกัน อยู่กันเหมือนพี่น้องเป็นครอบครัว พ่อครูคอยสอนมาโดยตลอดว่าอย่าไปอิจฉาใคร อันนี้คือสิ่งสำคัญที่พ่อครูบอกทุกคนไว้เสมอโดยเฉพาะคนกันเอง อย่าไปอิจฉากัน มันคือบ่อเกิดของความทุกข์
